วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีดูแลผิวผู้หญิงวัย 30+

วิธีดูแลผิวผู้หญิงวัย 30+
      
      วิธีดูแลตัวเองของสาววัยเลข 3 ลองเปลี่ยนมาทำด้วยวิธีง่าย ๆ แบบนี้ดู รับรองว่าจะสวยเปล่งปลั่งแบบที่ใคiก็ไม่รู้เลยว่าคุณอายุ 30 แล้ว
      ช่วงที่ผู้หญิงต้องเปลี่ยนแปลงการดูแลตัวเองครั้งใหญ่ ก็คงหนีไม่พ้นช่วงเข้าสู่วัยเลข 2 และเลข 3 นี่แหละ เพราะจะเป็นช่วงที่ผิวพรรณเริ่มเปลี่ยนแปลง และต้องการการดูแลที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม หากสาววัยเลข 3 คนไหนที่ไม่อยากดูแก่จนคนอื่นทายอายุถูกแล้วละก็ ลองมาดูแลตัวเองตามวิธีแนะนำมาฝากกันดีกว่าค่ะ....

วิธีดูแลผิวผู้หญิงวัย 30+

นอนหลับ
 
          รู้ไว้เถอะว่าไม่มีครีมบำรุงผิวตัวไหนบนโลกนี้ ดีเท่ากับการได้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพออีกแล้ว ถึงแม้ในช่วงวัยรุ่นคุณจะเป็นปาร์ตี้เกิร์ลตัวแม่จนไม่ค่อยได้นอนมากแค่ไหน แต่พอเข้าวัยเลข 3 ก็ต้องเริ่มปรับเปลี่ยนการนอนใหม่แล้วนะคะ โดยต้องนอนพักผ่อนให้ได้ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยให้ผิวยังดูสดใสเปล่งปลั่งเหมือนสาว ๆ เลยแหละ
 
วิธีดูแลผิวผู้หญิงวัย 30+

 ดื่มน้ำ
          แม้ว่าการนอนหลับจะเป็นสกินแคร์ชั้นเลิศแล้ว แต่น้ำสะอาดก็ยังดีไม่แพ้กันเลยแหละ ซึ่งสาววัยเลข 3 ควรดื่มน้ำต่อวันให้มาก ๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น จะได้ไม่มีริ้วรอยมากวนใจยังไงล่ะคะ

วิธีดูแลผิวผู้หญิงวัย 30+
 ไม่ประโคมแต่งหน้าจัด

          ก็รู้อยู่แล้วว่าในช่วงวัยที่ผ่านมา คุณสาว ๆ ทั้งหลายก็ต้องมีอายแชโดว์สี ๆ มีกลิตเตอร์ หรือลิปกลอสสีชมพูหวานฟรุ้งฟริ้งกันบ้าง แต่พอเข้าสู่วัยเลข 3 ก็ต้องเปลี่ยนการแต่งหน้าให้เหมาะสมเช่นกัน สำหรับเครื่องสำอางพวกที่มีกลิตเตอร์หรือกากเพชรอันยักษ์ทั้งหลายไม่ควรใช้แล้ว ควรมีไว้แค่แป้ง มาสคาร่า อายไลเนอร์ และลิปสติกสีสวย ๆ สักแท่งก็พอแล้ว

วิธีดูแลผิวผู้หญิงวัย 30+
 เปลี่ยนปลอกหมอน

          ปลอกหมอนธรรมดาที่ใช้อยู่ทุกวัน รู้ไหมคะว่ามันก็เป็นตัวการที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้ด้วยนะ ฉะนั้นสาววัยเลข 3 อาจจะลองเปลี่ยนมาใช้ปลอกหมอนผ้าไหมแทนก็ได้ เพราะมันสามารถช่วยต่อต้านริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยแหละ น่าลองใช่ไหมล่ะ

 ลงทุนกับสกินแคร์

          แทนที่จะเอาเงินไปซื้อเครื่องสำอางมาปกปิดริ้วรอยตามวัย ก็ควรจะเอาเงินไปลงทุนซื้อสกินแคร์ดี ๆ ครบเซตดีกว่านะคะ ไม่ว่าจะเป็นเซรั่ม มอยส์เจอไรเซอร์ โทนเนอร์ อายครีม มาสก์ หรือครีมกันแดด รับรองว่าดีกับสาววัยเลข 3 มากกว่าเครื่องสำอางอีก

แอดมินขอแนะนำครีมกันแดดพร้อมบำรุงจาก DIO (คลิ๊กที่รูป)
 ลงกันแดดในจุดอื่นเพิ่ม

          หากพูดถึงการลงครีมกันแดด สาว ๆ ก็คงจะนึกว่าแค่ลงที่ใบหน้า คอ แขน และขาเท่านั้นใช่ไหมคะ แต่พอเข้าสู่วัยเลข 3 แล้วคุณควรจะลงกันแดดเพิ่มในจุดที่ไม่เคยลงมาก่อน เช่น มือหรือใบหู เพิ่มเติมเข้าไปด้วย

วิธีดูแลผิวผู้หญิงวัย 30+
 เปลี่ยนกลิ่นน้ำหอม

          ถ้าเคยชอบน้ำหอมกลิ่นขนมหรือผลไม้ฟรุ้ตตี้ ๆ มาก่อน บอกเลยว่ามันช่างไม่เหมาะกับสาววัยเลข 3 เอาซะเลย ลองเปลี่ยนมาใช้กลิ่นที่ดูสุภาพ ๆ หรือกลิ่นหรูหราจะเหมาะกว่านะคะ 

          เห็นไหมล่ะคะว่าการดูแลตัวเองของสาววัยเลข 3 ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย แค่ต้องเปลี่ยนการดูแลจากที่เคยทำมาก่อนเท่านั้นเอง เอ้า … ถ้าไม่อยากดูแก่ก็รีบทำเลยจ้า 

ขอขอบคุณสาระดี๊ดีจาก HUBSUBSKINCARE 
ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.facebook.com/HubsubbyNuan/
แอดไลน์รับสาระดี๊ดีทุกวัน คลิ๊ก http://line.me/ti/p/%40lnl8075t

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อ่านค่า SPF-PA ของครีมกันแดด

ที่มารูปภาพ: http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/10/X12779555/X12779555.html

อ่านค่า SPF-PA ของครีมกันแดด

เพื่อการปกป้องผิวจากแสงแดด เราไม่ควรละเลยการทาครีมกันแดด โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดที่ปกป้องผิวจาก UVA และ UVB

สังเกตได้จาก ค่า PA ที่มีคุณสมบัติปกป้องผิวจาก UVA ส่วน ค่า SPF จะป้องกัน UVB

แต่ทั้งค่า PA และ SPF ต่างก็มีแยกย่อยออกเป็นหลายชนิด และความแตกต่างนั้นบ่งบอกถึงประสิทธิภาพที่ต่างกัน เริ่มจาก ค่า PA ที่มักจะมีให้เห็น อาทิ PA+, PA++, PA+++


สำหรับความหมายของ + ที่ติดมากับค่า PA คือความสามารถปกป้องผิวจากยูวีเอ แบบเท่าตัว กล่าวคือ เครื่องหมายบวกเดียว เท่ากับการป้องกันยูวีเอ 2 เท่า เครื่องหมายบวกสองตัว คือ ปกป้อง 4 เท่า และสามบวก คือ ป้องกันยูวีเอ 8 เท่า

รังสียูวีมี 2 ประเภท คือ UVA และ UVB ขออธิบายให้เห็นความแตกต่างของรังสีทั้ง 2 ประเภทอย่างง่ายๆ ว่า;
UVA เป็นรังสียูวีที่ตกกระทบมายังโลกมากถึง 90% และรังสี UVA นี่เองที่เป็นสาหตุของการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอย 
ส่วน UVB นั้นเป็นรังสีความถี่สั้นจึงทำร้ายผิวได้เพียงผิวชั้นนอกเท่านั้น รังสี UVB ทำให้ผิวหมองคล้ำ และแสบแดง

คราวนี้เราทำความรู้จักกับ SPF และ PA กันดีกว่าค่ะ…เริ่มจากการอ่านค่า PA ก่อนเลยนะคะ ปกติเราจะเห็นคำว่า PA+, PA++ และ PA+++ ระบุอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ป้องกันแดด…ความหมายของ ‘+’ ที่ติดมากับค่า PA หมายถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากยูวีเอแบบเท่าตัว พูดง่ายๆ คือเครื่องหมายบวกตัวเดียวจะเท่ากับการป้องกันยูวีเอ 2 เท่า, เครื่องหมายบวกสองตัว หมายถึงการป้องกันยูวีเอ 4 เท่า (2 x 2) และเครื่องหมายบวกสามตัว หมายถึงการป้องกันยูวีเอ 8 เท่า (2 x 2 = 4 x 2 =…)



มาต่อกันที่ SPF บ้าง….SPF ย่อมาจากคำว่า Sun Protection Factor ส่วนค่า SPF ที่มีตัวเลขต่อท้าย อาทิ SPF10, SPF15, SPF 60 นั้นสามารถนำมาคำนวณระยะเวลาในการปกป้องผิวจากยูวีบี โดยนำตัวเลขส่วนท้ายคูณด้วย 10* ผลลัพธ์ที่ได้หมายถึงจำนวนนาทีที่ครีมกันแดดชนิดนั้นจะป้องกันยูวีบีได้ เช่น SPF10 นำ 10×10 เท่ากับ 100 นาที

*ตัวเลขที่จะใช้คูณนั้นแต่ละคนไม่เท่ากันนะคะ ให้สังเกตุตัวเองว่าเราอยู่กลางแดดได้กี่นาทีแล้วไม่รู้สึกแสบค่ะ เราเองเป็นคนผิวค่อนข้างขาว และเป็นกระง่าย
อยู่กลางแดดได้ประมาณ 10 นาที ก็รู้สึกแสบและแดงแล้ว

หากต้องการคำนวณประสิทธิภาพในการกรอง UVB จากค่า SPF ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยใช้สูตร (1/SPF)*100% ผลลัพธ์ที่ได้คือประสิทธิภาพในการกรอง UVB เช่น SPF40 คำนวณโดย (1/40)*100% = 2.50 หมายถึงครีมตัวนี้ปกป้องยอมให้ UVB ผ่านมายังผิวเรา 2.50% หรืออาจพูดได้ว่าครีมตัวนี้ป้องกัน UVB ได้ 97.50% (100% – 2.50%) นั่นเอง

ตารางข้างล่างนี้เป็นชื่อของส่วนผสมที่มีความสามารถในการกรองรังสี UVA & UVB ซึ่งองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ FDA (Food and Drug Administration) อนุญาตให้ใส่ลงในเครื่องสำอางและสกินแคร์ต่างๆได้ (source: wikipedia)


สำหรับการทากันแดดให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดนั่นก็คือ

Physical กับ Chemical Sun-screen
Physicalหรือครีมกันแดดชนิดกายภาพ เป็นสารที่ช่วยสะท้อนแสงออกไป ซึ่งอาจจะทำให้ดูขาววอก ส่วน Chemical Sun-screen จะทำการดูดซับรังสี UV แทนผิว แต่ส่วนใหญ่ จะเป็นสารควบคุมให้ใช้ในปริมาณที่จำกัด ตามกฏหมวยเครื่องสำอางค์ควบคุม

ครีมกันแดดที่อ้างว่ากันน้ำ หรือกันเหงื่อ ไม่ได้หมายความว่ามันจะกันได้ตลอด เมื่อเหงื่อออก ลงน้ำ หรืออะไรก็ตาม สารเคมีที่เป็นตัวกันแดดจะเสื่อมลง หลายๆ ครั้ง มันก็ยังเหนียวหนึบติดผิวเราอยู่ คือ พอถูกน้ำประสิทธิภาพในการกันแดดจะลดลง โดยส่วยมากแล้ว คำว่า Waterproof หรือ Water Resistant จะทนน้ำได้ไม่เกิน 60 นาที ก็เสื่อมแล้ว ส่วน Very Water Resistant จะอยู่ได้ไม่เกิน 80 นาทีแค่นี้เอง

ดังนั้นเพื่อให้เราสามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีที่จ้องจะทำร้ายผิวเรา ก็ควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันและกรองรังสียูวีอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่เราหาได้ค่ะ

เอกสารอ้างอิง เนื้อหาและรูปภาพประกอบ
- วิธีอ่านค่า SPF-PA ของครีมกันแดด  04/19/2012
เข้าถึงข้อมูลได้จาก: https://muyaa.wordpress.com/2012/04/19/วิธีอ่านค่า-B2-spf-pa-ของครีมกัน/

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

6ท่าโยคะ สร้างสรรกล้ามหน้าท้อง


ทุกวันนี้ที่คนเริ่มหันมานิยมเล่นโยคะเพื่อหน้าท้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีความเชื่อที่ว่าสามารถช่วยให้รูปร่างกระชับ ได้สัดส่วน มีรูปร่างสวย หน้าท้องที่เคยหย่อนยาน ย้วย ห้อย ขอเพียงฝึกเล่นอย่างต่อเนื่องก็จะกลับมาเฟิร์มได้ ทราบกันดีว่า “โยคะ” เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยให้ร่างกายมีความยืดหยุ่น ผ่อนคลายเหนื่อยล้า ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความใส่ใจในการเล่น และเล่นอย่างถูกวิธีหรือไม่เท่านั้นเอง มาเริ่มกันเลย

1. ท่ายืนก้มตัว(Padahastasana)


  • เตรียมตัวด้วยท่ายืนตรง เท้าชิดกัน
  • จากนั้นก้มตัวลงให้ได้มากที่สุด วางฝ่ามือแนบพื้น หรือจับข้อเท้าไว้ หายใจเข้า-ออก ค้างไว้ให้ได้ประมาณ 20-30 วินาที แล้วจึงค่อยๆ ดันตัวขึ้นสู่ท่ายืนตรง
  • พยายามทำให้ได้ 10 ครั้ง 3เซต

2. ท่านอนกอดเข่า Pavanmuktasana ( Wind-releasing Pose)


  • เตรียมตัวนอนหงายราบกับพื้น ยกขาซ้ายขึ้น งอเข่าเข้าหาท้อง
  • พยายามเอาคางสัมผัสกับหัวเข่าให้ได้ ก็คือต้องยืดหัวขึ้นนั่นเอง แล้วก็ทำแบบเดียวกันกับขาข้างขวา เมื่อทำเสร็จทั้งสองข้างแล้ว ให้ยกสองขาขึ้นมาพร้อมๆ กันนับ 1
  • พยายามทำให้ได้ 10 ครั้ง 3เซต

3. ท่าเรือ Nauka Chalan (Boat Pose)



  • เตรียมตัวให้นอนราบไปกับพื้น
  • ยกขาขึ้นก่อน แล้วดันตัวขึ้นพร้อมทั้งยกแขนให้ระนาบกับพื้น (มองช่วงลำตัวกับขาเป็นรูปตัววี) ค้างไว้ประมาณ 8-10 วินาที แล้วค่อยๆลดตัว ลดขาลงช้าๆ
  • พยายามทำให้ได้ 10 ครั้ง 3เซต

4. ท่าสะพานโค้ง Setu Bandh (Bridge Pose)


  • เตรียมตัวให้นอนหงายราบไปกับพื้น
  • ชันเข่าขึ้น ให้เท้ากับมือมีระยะพอประมาณ จากนั้นค่อยๆ ดันลำตัวขึ้นค้างไว้ประมาณ 5 วินาที
  • ทำท่านี้ประมาณ 8 – 10 ครั้ง ให้ได้ 3 เซต

5. ท่างูชูคอ Bhujangasana (Cobra Pose)

  • เตรียมตัวท่านี้จะนอนคว่ำลงกับพื้น
  • เมื่อนอนคว่ำแล้ว วางฝ่ามือไว้ใต้หัวไหล่ (วางแขนราบไปเลย) เอาเท้ายันพื้นไว้ แล้วค่อยๆ ดันฝ่ามือกับพื้นด้วยการออกแรงที่แขน
  • ยกแต่ส่วนของหน้าอกและหน้าท้องขึ้นมาค้างไว้ 5-8 วินาที
  • ทำท่านี้ประมาณ 8 – 10 ครั้ง ให้ได้ 3 เซต

6. ท่าบดมัน Chakki Chalan (Grinding Pose)

  • เตรียมตัวเริ่มจัดท่านั่งให้สบาย
  • ยืดขาไปข้างหน้า ขาชิดกันไว้ ห้ามงอเข่า แล้วก็ประสานมือเข้าด้วยกัน
  • จากนั่นเคลื่อนที่ลำตัวเป็นวงกลม(ทำเหมือนเรากวนอะไรสักอย่างอยู่โดยที่มือประสานกันอยู่) โดยที่ขาและแขนอยู่ท่าเดิม หมุนตามเข็มนาฬิกา 10 ครั้ง ทวนเข็มอีก 10 ครั้ง แล้วค่อยๆ พัก
  • ทำให้ได้ 2 เซต

⬇️สั่งซื้อสินค้ากับเราโดยตรงได้ตามช่องทางดังนี้!!

➡️ไลน์ คลิ๊ก http://line.me/ti/p/%40lnl8075t

☎️ 090-0574595 นวลรับสายค่ะ

"ทักมาเราช่วยดูแลปัญหาผิวหน้าคุณได้"

http://nuanhubsub.lnwshop.com/


เช็กร่างกายตัวเอง จริงๆคุณอ้วนหรือแค่บวมน้ำ

"อ้วน" กับ "บวมน้ำ" แยกออกไหม ?







เคยรู้สึกมั้ยว่าพักนี้ตัวเองบวมๆ อืดๆ ท้องป่อง พุงออก ส่องกระจกแล้วรู้สึกหน้าบวม แก้มอ้วน หรืออยู่ดีๆน้ำหนักก็ขึ้นมาเฉยๆ
อย่างไร้สาเหตุ อย่าพึ่งตกใจ จริงๆแล้วไอ้น้ำหนักที่ขึ้นมาเนี๊ย ไม่ใช่ไขมันแต่อย่างใด แต่มันคือน้ำ! อย่าพึ่งงง ว่าน้ำที่ว่ามาจากไหน
อาการดังกล่าว เรียกว่า " บวมน้ำ "อาการบวมน้ำ คือ การที่ร่างกายเก็บกักน้ำเอาไว้เป็นจำนวนมาก และการที่ร่างกายเราน้ำเยอะ ไม่ใช่เพราะเราดื่มน้ำมากเกินไปเลยบวม
แต่ตรงกันข้ามเลย ก็คือคุณดื่มน้ำน้อยไปนั่นเอง นอกจากดื่มน้ำน้อยยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ร่างกายบวมน้ำ
มาดูเช็กกันสิว่าคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้รึเปล่า 



สาวๆอย่างเราคงหนีไม่พ้นอาหารรสจัด โดยเฉพาะส้มตำ ยำต่างๆ รู้มั้ยอาหารพวกนี้ใช้น้ำปลาหรือเกลือในการปรุงรสเป็นจำนวนมาก
และเกลือพวกนี้ยังมีโซเดียมประกอบอยู่ในปริมาณมาก “โซเดียม” มีหน้าที่ควบคุมสมดุลย์ของน้ำในร่างกาย ถ้าร่างกายเรามีโซเดียมเยอะเกินไป
จะทำให้ร่างกายเก็บน้ำมากขึ้นเพื่อทำให้โซเดียมเข้มข้นน้อยลงนั่นเอง รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมกินเค็มแล้วบวมน้ำ
ความจริงก็ คือ ร่างกายของเราต้องการโซเดียมปริมาณเท่ากับเกลือเพียง 1 ช้อนชาเท่านั้นเองค่ะ
แล้วลองย้อนกลับไปดูกัน ส้มตำ ยำ ขนมกรุบกรอบ โอ้โห! พระเจ้า
แค่ส้มตำจานนึงก็ไม่รู้จะตีปริมาณเกลือออกมาได้แค่ไหน !





ทำความรู้จักกับ “โซเดียม” ตัวการของอาการบวมน้ำกันไปแล้ว แล้วรู้ไหมว่าบรรดาขนมถุง อาหารแช่แข็งที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้มีปริมาณโซเดียมเยอะมาก 
เคยลองพลิกดูโภชนาการกันไหม ว่าแต่ละอย่างมีโซเดียมเท่าไหร่ อย่าวัดแค่ที่ความเค็ม เพราะการรับรสของคนเราไม่เหมือนกัน
มาดูกันที่ตัวเลขชัดๆไปเลยว่าขนมแต่ละห่อมีโซเดียมเท่าไร ยังไม่นับเจ้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพื่อนรัก แค่ห่อเดียวประมาณโซเดียมก็เยอะกว่าที่ร่างกายต้องการต่อวันเข้าไปแล้ว
หรือใครจะหัวหมอ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ซองปริมาณโซเดียมมากเกินร่างการต้องการต่อวัน ก็เลยแบ่งทานซัก 3 วัน 
อันนี้ก็ไม่ว่ากัน ก็ดีเหมือนกันประหยัดเงินได้อีกต่อหนึ่งด้วย 



อย่างมาเถียงนะว่าแอลกอฮอล์ไม่เห็นเค็มเลย ทำไมกินแล้วบวมน้ำ รู้มั้ยแอลกอฮอล์นี่แหละตัวดีเลย เคยสังเกตมั้ยว่าเวลาเราดื่มแอลกอฮอล์เยอะๆ
เราจะอยากเข้าห้องน้ำบ่อยๆ เพราะเมื่อเราดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ร่างกายของเราจะสูญเสียน้ำเป็นจำนวนมาก ความเข้มข้นของเลือดเราจะสูงขึ้น 
ร่างกายของเราก็ต้องพยายามรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายโดยการกักเก็บน้ำไว้มากขึ้น ไม่งงแล้วใช่มั้ยว่าทำไม วันที่เราดื่มหนักๆตัวของเราจะบวมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด 

วิธีแก้อาการบวมน้ำ 

ง่ายๆคือต้องไม่ทำในสิ่งที่บอกมาข้างต้นแค่นั้นเอง หรือถ้าใครเลี่ยงไม่ได้จริงๆ แค่พยายามลดให้น้อยลง หรือถ้ารู้ตัวว่าวันไหนทานอาหารรสจัด หรือดื่มหนัก 
วันนั้นพยายามดื่มน้ำมากๆเพื่อรักษาระดับของน้ำในร่างกาย ลดอาหารรสเค็มจัด หวานจัด เลี่ยงอาหารแช่แข็ง รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ลดหรือเลิกได้ก็จะดีมากเลยนะจ๊ะ นอกจากทำให้ตัวเราบวมละก็ยังมีผลเสียต่อร่างกายมากมาย
แต่ถ้าเราเลี่ยงการทำสิ่งที่จะทำให้เกิดการบวมน้ำไม่ได้ เราก็มีวิธีแก้ง่ายๆมาฝากกันจ้า


1. การดื่มน้ำ

ถ้าสังเกตดีๆ การบวมน้ำนั้นมีความสัมพันธ์กับการกักเก็บน้ำและโซเดียมในร่างกาย
การดื่มน้ำมากๆ ก็จะช่วยปรับระดับน้ำในร่างกายให้สมดุล ทำให้ร่างกายระบายน้ำส่วนเกินออกมาทำให้ไม่บวม

2. ทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง 

เนื่องจากโพแทสเซียมมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ จะช่วยให้เราขับน้ำและโซเดียมส่วนเกิดในร่างกายออกมา
อาหารที่มีโพสแทสเซียมสูงๆ ยกตัวอย่างเช่น กล้วยหอม ถั่วนัตโตะ กีวี สับปะรด แอปเปิ้ล แตงโม แคนตาลูป

3. ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและน้ำเย็นสลับกัน

วันไหนถ้าดื่มแอลกอฮอล์มาหนักๆ ก็มีวิธีการแก้เฉพาะหน้า คือเมื่อตื่นมาแล้วรู้สึกว่าหน้าบวมให้ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นสลับกับน้ำเย็น
จะทำให้หน้าหายบวม ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดบริเวณใบหน้าของคุณดีขึ้น







ถ้าถามว่าบวมน้ำแล้วไม่แก้ได้มั้ย รู้มั้ยว่าผลพวงจากการบวมน้ำแล้วปล่อยทิ้งไว้นานๆ จะทำให้เกิด "เซลลูไลท์" ที่ใต้ผิวสวยๆของเราด้วยน้า 
รู้ถึงสาเหตุและวิธีการแก้อาการบวมน้ำแล้ว อย่าลืมไปทำกันดูนะจ๊ะ แต่ถ้าทำทุกอย่างแล้วยังรู้สึกว่าตัวยังไม่หายบวมอย่าพึ่งร้อง
นั่นแสดงว่าเราไม่ได้บวมน้ำนะจ๊ะ มันทำให้เรารู้ความจริงว่าเราอ้วนจริงๆไม่มีน้ำแอบแฝง เมื่อรู้แล้วก็มาแก้ให้ตรงจุด 

"อ้วนได้ก็ผอมได้ บวมได้ก็ฟีบได้"


ทุกอย่างอยู่ที่การปฏิบัติตัวของเราเอง การดูแลตัวเอง การออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
รวมถึงการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะทำให้เราสุขภาพดี มีรูปร่างที่สมส่วนนะจ๊ะ
ที่มา : https://www.wongnai.com





⬇️สั่งซื้อสินค้ากับเราโดยตรงได้ตามช่องทางดังนี้!!

➡️ไลน์ คลิ๊ก http://line.me/ti/p/%40lnl8075t

☎️ 090-0574595 นวลรับสายค่ะ

"ทักมาเราช่วยดูแลปัญหาผิวหน้าคุณได้"

http://nuanhubsub.lnwshop.com/

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

"สิวที่คาง" ปัญหาสิวของสาวๆก่อนมีประจำเดือน


ประจำเดือนหรือระดูเป็นธรรมชาติของอิสตรีทุกคนที่ต้องเป็นกันทุกคนตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคน แต่ที่ไม่ปกติก็เห็นจะเป็น "สิวที่คาง" ที่ชอบขึ้นมากวนใจในแต่ละเดือนนี่แหละ บางคนบอกว่าเม็ดเก่ายังไม่ทันหายเม็ดใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว สิวขึ้นจนรอยดำเต็มปากเต็มคางไปหมดแก้ไม่หายสักที ว่าแล้วมาดูสาเหตุการเกิดสิวที่คางและวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นกันดีกว่า

สาเหตุการเกิดสิวที่คาง

  • ฮอร์โมนแปรปรวน โดยเฉพาะช่วงประจำเดือนใกล้มานี่ขึ้นได้ขึ้นดีจริงๆ
  • ความมันบริเวณ T-zone เป็นบริเวรที่มีต่อมไขมันเยอะเป็นพิเศษ
  • ยาสีฟันที่ใช้ บางคนแพ้ยาสีฟันเวลาฟองไหลลงคางแล้วก่อให้เกิดการระคายเคืองจนเป็นตุ่มที่มีลักษณะคล้ายสิวเกิดขึ้น
  • ท้องผูกบ่อยๆ
  • ชอบนั่งเท้าคางบ่อยๆ

วิธีแก้ปัญหาสิวที่คาง

ทายาลดการอักเสบของสิว

สิวที่ชอบขึ้นมาที่คางมักเป็นสิวอักเสบหรือสิวไม่มีหัวซะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการแก้ปัญหาก็คือหายาแต้มสิวหรือยาลดการอักเสบมาทาเพื่อลดการบวมแดงและการติดเชื้อแบคทีเรียลง ยาแต้มสิวอักเสบ เช่น Benzac AC , Clinda-m , Clindalin gel , Smooth e acne hydrogel ,  Tomei Clindai Gel , eryacne erythromycin 4% ใช้แต้มที่หัวสิวที่อักเสบหรือกำลังจะอักเสบ ทาตั้งแต่เนิ่นๆสิวจะได้ไม่ลุกลามมาก

เปลี่ยนยาสีฟันที่ใช้

ถ้าใครเป็นสิวที่คางแบบเรื้อรังไม่ยอมหายสักทีลองเปลี่ยนยาสีฟันที่ใช้ดู บางทีที่สิวเราขึ้นอาจเป็นเพราะยาสีฟันที่ใช้อยู่ทุกวันก็ได้ บางคนเปลี่ยนไปใช้ยาสีฟันแบบสมุนไพรแล้วสิวหายก็มีนะ ลองดูๆเผื่อช่วยได้

ลดเครียดลดสิว

อย่างที่บอกว่าช่วงก่อนมีประจำเดือนฮอร์โมนของสาวๆจะแปรปรวนเป็นพิเศษ และความเครียดก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนปั่นป่วนไปหมด ถ้าไม่เชื่อลองสังเกตดูได้เลยว่าก่อนประจำเดือนมาสาวๆมักมีอารมณ์ขึ้นๆลงๆเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย โมโหง่าย หงุดหงิดทั้งวัน ถ้ายิ่งเพิ่มความเครียดเข้าไปอีกเชื่อเถอะว่าสิวที่คางต้องขึ้นมาเยอะกว่าเดิมแน่นอน ถ้าไม่อยากให้สิวที่คางขึ้นมากไปกว่านี้หยุดเครียดก่อนดีที่สุด

กินยาแก้อักเสบ

ในกรณีที่สิวที่คางอักเสบมากเกินไปเราสามารถกินยาแก้อักเสบร่วมด้วยได้ แต่อยากให้เป็นวิธีสุดท้ายที่เลือกทำเพราะยาแก้อักเสบหรือยาฆ่าเชื้อสิวบางตัวมีผลข้างเคียงเยอะ ก่อนตัดสินใจกินควรปรึกษาเภสัชกรหรือให้แพทย์เป็นคนสั่งจ่ายจะดีที่สุด

กินผักผลไม้เยอะๆ

เมื่อก่อนผมเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหาสิวที่คางและรอบปาก ทายาแต้มสิวก็ไม่หายพยายามหาวิธีรักษาอยู่นานจนไปเจอข้อมูลที่บอกว่าสิวที่คางอาจเกิดจากระบบขับถ่ายที่มีปัญหาคือท้องผูกบ่อยๆ เอ่อ!!!เราก็ท้องผูกบ่อยๆนี่หว่า แบบว่าไม่ค่อยชอบกินผักกินแต่เนื้ออย่างเดียว อยากสิวหายก็เลยลองเชื่อกินผักมากขึ้นหรือไม่ก็หาผลไม้มากินเพื่อป้องกันอาการท้องผูกที่เกิดขึ้น ทำอยู่ 3-4 เดือน เฮ้ย!!!สิวที่คางมันหายไปจริงๆ ไม่รู้ว่าสิวที่คางกับการขับถ่ายมันเกี่ยวกันมากน้อยแค่ไหน แต่ลองทำแล้วมัน work ก็เลยอยากเอามาเล่าให้ฟัง ของอย่างนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่เป็นอันขาด

       นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาสิวที่คางที่ชอบขึ้นมาช่วงก่อนมีประจำเดือนของสาวๆ ลองเลือกวิธีที่คิดว่าเหมาะกับตัวเองไปใช้ดูครับ ลองสังเกตุพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวเองดูว่าอะไรน่าจะเป็นสาเหตุการเกิดสิวที่คางของเรา จะได้แก้ปัญหาได้ตรงจุด สิวและรอยดำที่คางจะได้หายไปสักที


⬇️สั่งซื้อสินค้ากับเราโดยตรงได้ตามช่องทางดังนี้!!

➡️ไลท์ คลิ๊ก 
http://line.me/ti/p/%40lnl8075t

☎️ 090-0574595 นวลรับสายค่ะ

"ทักมาเราช่วยดูแลปัญหาผิวหน้าคุณได้"

สูตรเคล็ดลับผิวขาว วิธีจัดผิวคล้ำให้ขาวใน 3 สัปดาห์

สูตรผิวขาว

ปัญหาผิวหมองคล้ำเป็นปัญหาที่กวนใจสาวๆอยู่เสมอมา จากผิวที่ขาวๆ เจอแดด เจอมลภาวะ เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวก็ร้อน แล้วผิวสวยๆของเราจะทนได้อย่างไร วันนี้มี สูตรผิวขาว ที่จะช่วยฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำให้กลับมาขาวใสได้อีกครั้ง
  • สูตรพอกผิวขาวด้วยมะละกอ  นำมะละกอ 5 ขีด โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 2 ถ้วย และน้ำผิ้ง  100  มิลลิลิตร มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน(อย่าลืมบีบมะละกอให้เละด้วยนะ) หรืออาจจะนำไปปั่นด้วยเครื่องปั่นก็ได้ จากนั้นก็นำมาพอกให้ทั่วตัว พอกหน้าด้วยก็ได้จะได้ขาวเหมือนๆกัน ซึ่งมะละกอจะช่วยผลัดผิวของเราออกไป ผิวเก่าออก ผิวใหม่มาแทนที่ โยเกิร์ตก็จะช่วยทำลายแบคที่เรียบนผิวของเรา ทำให้ผิวสะอาดหมดจด ส่วนน้ำผึ้งก็จะช่วยให้ผิวของเรานุ่มชุ่มชื้น สูตรผิวขาวนี้ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง พอกทิ้งไว้ครั้งละ 15-30 นาที ก็จะช่วยให้ผิวของสาวๆขาวได้สมใจ

  • สูตรพอกผิวขาวด้วยใบบัวบก  นำใบบัวบกมา 1 ถ้วย วุ้นว่านหางจระเข้สัก  3   ขีด และน้ำมันมะกอก  50  มิลลิลิตร มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันด้วยการปั่น จากนั้นก็เหมือนเดิมโบ๊ะไปตามเรือนร่างอันงดงามของสาวๆให้ทั่ว ทิ้งไว้สัก 15 นาที แล้วก็ล้างออกด้วยน้ำเย็น อาบน้ำได้ตามปกติ จะรู้สึกได้ถึงความนุ่มของผิวตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ทำสัก 3 สัปดาห์ผิวจะขาวเนียนขึ้นแบบมีสุขภาพดี สูตรผิวขาวนี้ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเช่นกัน

  • สูตรพอกผิวขาวด้วยกล้วยหอม  นำกล้วยหอมผสมเข้ากับน้ำมะพร้าว ให้พอข้นๆเพื่อจะได้นำมาพอกผิวได้ พอกไว้นาน  20  นาที ทำสัปดาห์ละ 3  ครั้ง ผิวจะขาวเนียนขึ้นอย่างมีนัยยะ

สูตรเคล็ดลับผิวขาว 3 สูตรที่ให้ไว้อาจจะลองนำไปใช้วันละสูตรก็ได้ หรือว่าเราสะดวกแบบไหนก็ใช้สูตรนั้นๆ เพราะแต่ละสูตรผิวขาวนี้ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน แต่ต้องทำเป็นประจำนะทำได้ทุกๆสัปดาห์ยิ่งดี เจียดเวลาสักวันละ 15 นาที แลกกับความสวยขาวแล้วคุ้มเกินคุ้มนะ วันนี้ลาไปก่อนวันหน้าจะเอาบทความดีดีมาฝากกันอีกครับ ^^


⬇️สั่งซื้อสินค้ากับเราโดยตรงได้ตามช่องทางดังนี้!!

➡️ไลท์ คลิ๊ก 
http://line.me/ti/p/%40lnl8075t

☎️ 090-0574595 นวลรับสายค่ะ

"ทักมาเราช่วยดูแลปัญหาผิวหน้าคุณได้"

กินของหวาน อย่างไรไม่อ้วน


 บทความสุขภาพ

     กินของหวาน อย่างไรไม่อ้วน

          ของหวาน เป็นที่ชื่นชอบของทุกเพศทุกวัย ทุกคนขาดของหวานไม่ได้ แต่จะกินของหวานอย่างไรไม่ให้อ้วน วันนี้เราเคล็ดลับดีๆ มาบอกกัน

          รู้ปริมาณแคลอรี ก่อนกินควรอ่านปริมาณแคลอรีในขนม โดยดูจากฉลากแสดงข้อมูลโภชนาการข้างกล่อง หากเป็นไปได้ควรเลือกกินหรือซื้อชนิดที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบน้อยที่สุด

          ลดแคลอรี การตัดน้ำตาล ครีม ออกจากขนมก่อนกิน เช่น เกลี่ยน้ำตาลไอซิ่งที่โรยหน้าขนมปังออก หรือไม่ใส่กะทิในขนมหวาน จะลดพลังงานได้ถึง 81- 150 แคลอรี หรือเกลี่ยครีมหน้าขนมเค้กออก ลดพลังงานได้ถึง 160 แคลอรี

          ควบคุมสัดส่วนการกิน กินอย่างละนิดพอให้รู้รสชาติ เช่น คุกกี้ 1-2 ชิ้น เค้ก 1 ส่วน 4/ชิ้นเล็ก ไอศกรีม 1 ลูก คุณจะได้ชิมรสขนมทั้งหมดโดยได้แคลอรีเพียงครึ่งเดียว

          ดื่มชาเขียวหรือกาแฟร้อนหลังมื้อขนม กาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน หากต้องการเพิ่มรสชาติให้ใส่น้ำตาลเทียมแทน 15 นาที

          หลังกินขนมหวานเสร็จอย่านั่งอยู่กับที่ ออกไปเดินเล่นรอบบ้านๆ ประมาณ 15 นาที วิธีนี้นอกจากจะช่วยย่อยแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกได้อีกด้วย 30 นาที หลังกินของหวาน 5 ชั่วโมง ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที เพื่อกำจัดแป้งและน้ำตาลก่อนกลายเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

          โดยก่อนและหลังออกกำลังกายควรดื่มชาเขียวร้อนหรือน้ำอุ่นเพื่อเสริมระบบเผา ผลาญควบคู่ไปด้วย งดแป้งและน้ำตาลในวันรุ่งขึ้น มื้อเช้าและกลางวันเน้นผัก 80% โปรตีน 20% ส่วนมื้อเย็นให้กินผักผลไม้สดและดื่มน้ำเปล่าทั้งวันเพื่อสุขภาพ ที่ดี

ที่มา..................PirateBrowser
 


⬇️สั่งซื้อสินค้ากับเราโดยตรงได้ตามช่องทางดังนี้!!

➡️ไลท์ คลิ๊ก 
http://line.me/ti/p/%40lnl8075t

☎️ 090-0574595 นวลรับสายค่ะ

"ทักมาเราช่วยดูแลปัญหาผิวหน้าคุณได้"